![]() |
||
![]() |
หุ่นกระบอกคณธแม่ชะเวงนครสวรรค์ __________จาก “สาส์นสมเด็จ” เป็นหลักฐานชิ้นแรก ที่มีการบันทึกเกี่ยวกับชื่อและประวัติความเป็นมาของหุ่นกระบอก แสดงให้เห็นว่าใน __________ต่อมาจนถึง หม่อมราช “เถาะ” ซึ่งเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชนุภาพ ผู้ที่เคยได้ตามเสด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไปเห็นหุ่นกระบอกที่เมืองอุตรดิตถ์ เมื่อกลับมาสร้างหุ่นกระบอก และตั้งคณะหุ่นกระบอกเป็นคณะแรกของกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสำหรับประวัติความเป็นมาของครูเหน่ง จากคำบอกเล่าของแม่ บุญช่วย เปรมบุญ ผู้เป็นหลานของครูเหน่งได้เล่าให้จักรพันธุ์ โปยษกฤต ให้ฟังว่า ครูเหน่งเดิมเป็นชาวนครสวรรค์ อาศัยอยู่ที่บ้านบางมะฝ่อ อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ และมีชื่อว่า “นายรื่น” (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นผู้มีความสามารถในการแกะสลัก และเขียนรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสามารถแกะหน้าบัน ด้วยฝีมือที่เก่งนี้เอง เป็นเหตุให้ครูเหน่งต้องหนีการจับกุมของทางการ เนื่องจากมีผู้มาว่าจ้างให้แกะแม่พิมพ์เพื่อทำเหรียญกษาปณ์ปลอม โดยใช้หินแกะเป็นแม่พิมพ์ แล้วนำมาประกบกันสองข้างใช้ตะกั่วหลอมเทแทนเงิน __________ในการกระทำเช่นนี้ถือเป็นความผิดกฎหมายบ้านเมืองมีโทษอย่างรุนแรงถึงขั้นขันชะเนาะตอกเล็บ เมื่อได้กระทำความผิดนายรื้นจึงหนีจากที่อยู่เดิมจังหวัดนครสวรรค์ ไปอยู่ทางใต้ (ไม่ทราบจังหวัด) ระหว่างที่หนีการจับกุมของบ้านเมือง จึงทำให้นายรื้นได้ไปเห็นการแสดงหุ่นไหหลำที่มาเชิดให้คนดู (ไม่ทราบจังหวัดใด) ตาเหน่งแกติดใจในความสวยงามของหุ่น จึงคิดแกะหัวหุ่นขึ้น โดยดัดแปลงให้มีหน้าตาลักษณะเป็นหุ่นไทยและประดิษฐ์ทำตัวหุ่นเลียนแบบหุ่นจีนไหหลำ ในตอนแรกใช้หัวมันเทศ ซึ่งเป็นวัสดุที่หาง่ายในพื้นบ้านและมีราถูกและง่ายต่อการแกะเป็นหัวหุ่น แต่ในความคงทนของหัวมันเทศจะอยู่ไม่ได้นาน แต่ตาเหน่งสามารถแกะขึ้นมาในขณะที่กำลังแสดงทันทีด้วยเป็นช่างที่มีฝีมือของนายรื้น ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป คดีความที่ได้กระทำไว้ซาลง นายรื้น จึงย้ายที่อยู่โดยขึ้นมาอยู่ทางเหนือที่เมืองสุโขทัย และใช้ชื่อว่า “นายเหน่ง” และได้ตั้งคณะหุ่นกระบอกขึ้นจังหวัดสุโขทัยออกรับงานแสดงอยู่หลายปีในนามคณะหุ่นกระบอกตาเหน่ง เรียกตามลักษณะคือตาเหน่งเป็นคนศีรษะล้าน __________เมื่อทุกอย่างเริ่มเป็นปกติตาเหน่งจึงได้ย้ายที่อยู่ที่บ้านบางมะฝ่อ อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งบ้านดงมะฝ่อเป็นหมู่บ้านที่มีนักแสดงละครที่เก่งเป็นที่รู้จักทั่วคือ คณะละครยายเขียว ซึ่งทั้งร้องทั้งรำได้ดี ดังนั้นตาเหน่งจึงได้ให้ยายเขียวมาร่วมเชิดหุ่นกระบอกด้วยกัน ซึ่งการแสดงหุ่นกระบอกหรือการเชิดหุ่นกระบอกนำเอาท่ารำบทร้องประกอบการแสดง บทเจรจาทุกอย่างเลียนแบบมาจากละครทั้งหมด และออกรับงานเป็นที่รู้จักกันนามคณะหุ่นกระบอกตาเหน่ง __________ต่อมาตาเหน่งได้แต่งงาน (กับผู้ใดไม่มีข้อมูล) และมีบุตร ๓ คน คือ สุ่น กุน เปลื้อง ซึ่งโตขึ้นมาก็ได้หัดละครทั้งร้องทั้งรำเก่งทั้ง ๓ คน และเชิดหุ่นกระบอกก็เก่ง ยึดเป็นอาชีพ และได้ย้าย มาเล่นที่ศาลเจ้าปากคลอง บางมะฝ่อ และเมื่อตาเหน่งได้เสียชีวิต (ไม่มีข้อมูลปี่ พ.ศ. ใด) ลูกสาว ทั้ง ๓ คน ก็ยังยึดอาชีพเล่นหุ่นกระบอกกันเรื่อยมา __________ส่วนนางกุนได้แต่งงานกับตาหวาด มีลูกด้วยกัน ๒ คน คือ นายสวอง และนางละอองและเมื่อยายเปลื้องเสียชีวิตลง วงปี่พาทย์ จึงมาตกอยู่ที่แม่บุญช่วย และหุ่นกระบอกมาตกอยู่ที่นางละออง ซึ่งนางละอองได้ให้แม่บุญช่วยขอยืมหุ่นกระบอกไปออกรับงานหากิน ซึ่งแม่บุญช่วยมีวงปี่พาทย์อยู่แล้วจึงออกรับงานแสดงหุ่นกระบอกจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว ในนาม หุ่นกระบอกคณะแม่บุญช่วย จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่แม่บุญช่วยจะเสียชีวิต จึงนำหุ่นกระบอกมาคืนให้กับญาติของนางละออง อีกครั้ง และผู้ที่ได้มรดกหุ่นตาเหน่งเป็นคนสุดท้าย คือ แม่ชะเวง อ่อนละม้าย |
![]() |
![]() |
![]() |
|